สิ่งที่น่าดึงดูดใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่หน้าปก
แต่เป็นชื่อหนังสือและคำโปรย
"คนที่ประสบความสำเร็จที่สุดทำอะไรก่อนมื้อเช้า"
แค่อ่านก็ถูกตกทันที
พอเห็นคำโปรยที่ว่า
"เปลี่ยนช่วงเวลาหลังตื่นนอนของคุณให้เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ"
ปุ่ม "สั่งซื้อสินค้า" ก็ถูกกดทันที
...
อือม ตอนแรกอิงคิดว่าเป็นหนังสือว่าด้วยการตื่นเช้า
แต่... ปรากฏว่าไม่ใช่
กลับเป็นการวางแผนทำกิจกรรมในแต่ละช่วงเวลาต่างหาก...
เนื้อหาอ่านสบาย อ่านง่าย อ่านได้เร็ว
ว่าแล้วก็มารีวิวกันดีกว่า...
More...
เกี่ยวกับผู้เขียน
Laura Vanderkam เป็นคุณแม่ลูกสี่ที่เขียนหนังสือและ blog เกี่ยวกับการบริหารเวลา
แล้ว Laura เอาข้อมูลจากไหนมาเขียนหนังสือ?
สิ่งที่น่าสนใจ คือ นอกจากการหาข้อมูลจากงานวิจัยและบทความ Laura ยังทำการวิเคราะห์บันทึกเวลาของบุคคลต่างๆ (ที่ประสบความสำเร็จในงานตัวของตัวเอง) เพื่อเป็นข้อมูลในการเขียนหนังสือ
(เรื่องของการบันทึกเวลามีประโยชน์มากค่ะ ไว้ไปขยายความต่อในโพสต์อื่นๆ นะคะ)
หนังสือนี้น่าจะเหมาะกับใคร
เราอาจจะคิดว่าทุกๆ คนอยากใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้นค่ะ เมื่อสิบกว่าปีก่อนสมัยที่อิงเริ่มสนใจเรื่องการบริหารเวลา อิงไปชักชวนน้องชายให้มาสนใจเรื่องเดียวกัน กลับได้คำตอบว่าการบริหารเวลาสร้างความเครียดให้กับตัวเขา มัน strict เกินไป!
สำหรับอิง เรื่องการบริหารเวลาจึงเป็นการตระหนักรู้ส่วนบุคคล ไม่ใช่ทุกคนจะชอบ และไม่ใช่ทุกคนจะอยากทำตาม ดังนั้นอิงว่าคนที่น่าจะได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้มากกว่าเพื่อน คือ
หนังสือเขียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง
หนังสือแบ่งเป็น 3 ตอนหลักๆ (ไม่รวมบทนำและภาคผนวก) เพราะที่จริงแล้วหนังสือเล่มนี้เกิดจากการนำ e-book 3 เล่ม ของผู้เขียนมาพิมพ์เป็นเล่มเดียวกัน โดยแบ่งเป็น การใช้เวลาช่วงเช้าตามชื่อหนังสือ การใช้เวลาในวันหยุด และการใช้เวลาในวันทำงาน แต่ละบทก็มีเสน่ห์ต่างกันไป มาดูรายละเอียดกันค่ะ
#คนที่ประสบความสำเร็จที่สุดทำอะไรก่อนมื้อเช้า
การตื่นแต่เช้ามาทำโน่นทำนี่ (แบบมีประสิทธิภาพ) เป็นความใฝ่ฝันของอิงมาตลอด แต่ก็ต้องยอมรับค่ะว่า ถ้าตื่นเช้าสัก 6 โมง นี่พอไหว แต่สักตี 5 มันต้องใช้พลังใจสูงมากค่ะ (หรือสถานการณ์บังคับ เช่น ต้องรีบไปถึงที่ทำงานแต่เช้า เพื่อแย่งที่จอดรถดีๆ)
เพราะการตื่นให้เช้าขึ้น หรือวางแผนตอนเช้าของเราให้มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังใจ คุณ Laura จึงเริ่มต้นเนื้อหาในส่วนนี้ด้วยเรื่องเล่าจากบุคคลหลากหลายที่ประสบความสำเร็จในอาชีพต่างๆ รวมถึงตัวเธอเองในบทบาทของคุณแม่ที่มีลูกเล็กๆ ให้คอยดูแลจัดการในช่วงเช้า (จะสังเกตอย่างหนึ่งว่า ในเรื่องเล่าส่วนใหญ่ ผู้ที่ประสบความสำเร็จนิยมออกกำลังกายตอนเช้า.. เป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกันค่ะ ว่าด้วยบริบทของตัวเราและสภาพการจราจร เราจะออกแบบให้การออกกำลังกายมาอยู่ตอนเช้าได้มั๊ย)
เนื้อหาสำคัญในตอนนี้จะมีอยู่ 2 ส่วน
#คนที่ประสบความสำเร็จที่สุดทำอะไรในวันสุดสัปดาห์
ตอนแรกอ่านแล้วเฉยๆ แต่พออ่านๆ ไป เออ... จริงแฮะ พอเราเห็นว่าเป็นวันสุดสัปดาห์ วันหยุด หรือวันขี้เกียจของใครบางคน เวลาที่เรามีเต็มสองวันกลับหายไปไหนไม่รู้ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็เย็นวันอาทิตย์แล้ว
ใจความสำคัญของตอนนี้คือ วันสุดสัปดาห์ก็ต้องการวางแผน เพื่อให้เราได้พักผ่อนอย่างแท้จริง และเตรียมตัวสำหรับการกลับไปทำงานอย่างร่าเริงอีกครั้งในวันจันทร์
#คนที่ประสบความสำเร็จที่สุดทำอะไรในที่ทำงาน
เนื้อหาในบทนี้อาจจะดูคล้ายกับหนังสือที่เกี่ยวกับการบริหารเวลาทั่วไป ที่มุ่งเน้นในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเรา แต่ด้วยสไตล์การเขียนและการนำเสนอในลักษณะกึ่งๆ กฎ กึ่งๆ วิธีการ ทำให้เนื้อหาไม่ได้ซ้ำกับหนังสือเล่มอื่นๆ สักทีเดียว (ที่ปกติจะเน้นเทคนิคเป็นหลัก) และผู้เขียนยังคงสอดแทรกเรื่องเล่าของบุคลลต่างๆ เข้ามาประกอบให้เราเห็นภาพเช่นเดียวกับตอนก่อนหน้านี้
กฎต่างๆ ในตอนนี้มีทั้งหมด 7 ข้อ คือ
ความคิดเห็นของฉัน
อิงคิดว่าหนังสือค่อนข้างอ่านง่ายและแตกต่างจากเล่มอื่นๆ ที่เคยอ่านมา (ในหัวข้อของการตื่นเช้า เช่น Miracle Morning และการบริหารเวลา เช่น Getting Things Done) คือไม่ได้เน้นแรงบันดาลใจอย่างเดียว จนเหมือนกับว่าเราจะตื่นเช้าและมีประสิทธิภาพได้โดยอัตโนมัติ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เน้นวิธีการที่ตายตัวหรือสลับซับซ้อน
อิงว่าจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะลองทำตามข้อแนะนำในหนังสือ คือ การจดบันทึกการใช้เวลาของตัวเราเอง แล้วลองประเมิน พร้อมกับปรับตามแนวทางที่ผู้เขียนแนะนำ เช่น หากเราพบว่าเรามีช่วงเช้าที่หืดจับและเร่งรีบตลอด เราอาจต้องตื่นให้เช้าขึ้น สลับโยกกิจกรรมบางอย่างในช่วงเช้าไปในช่วงเวลาอื่น เพื่อเราจะได้ออกแบบกิจกรรมต่างๆ ในช่วงเวลาเช้าของเราให้ดียิ่งขึ้น (รวมถึงสร้างแรงจูงใจที่จะทำให้เราอยากตื่นเช้าขึ้นด้วย) เป็นต้น ขอยกตัวอย่างสิ่งเล็กน้อยที่อิงทำ คือ จะเตรียมชุดทำงานไว้ตั้งแต่กลางคืน เช้ามาจะได้ไม่ต้องมานั่งคิดมาก เป็นการเซฟเวลาช่วงเช้าได้ดีเลยค่ะ นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมใจว่าพรุ่งนี้ต้องไปทำงานนะจ๊ะอีกด้วย
ตัวหนังสือเองก็ไม่หนามาก อ่านจบได้ใน 3 - 4 ชั่วโมง มีข้อให้ฉุกคิดเป็นระยะ อิงแนะนำว่าควรมี post-it ไว้ใกล้มือ (หรือปากกา highlight แล้วแต่สไตล์ของเรา)
อีกจุดนึงที่อิงว่าเป็นเรื่องจริงสำหรับการบริหารเวลา คือ จำกัดสิ่งที่ต้องทำ ให้เหลือแค่ 2 - 3 อย่างที่สำคัญในแต่ละวัน เพื่อที่เราจะได้ทุ่มเททำสิ่งที่สำคัญให้เสร็จได้จริง (หากเวลาเหลือค่อยขยับไปทำสิ่งอื่นๆ เพิ่มเติม) การจำกัดสิ่งที่ต้องทำนั้นจะทำให้เราไม่ฟุ้งซ่าน อยากทำโน่นทำนี่เต็มไปหมด สุดท้ายกลายเป็นจับจด ทำเยอะอย่างแต่ไม่เสร็จสักอย่าง
จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้
แล้วควรซื้อหรือไม่?
หากถามอิง อิงว่าสิ่งที่ตัวเองได้ประโยชน์คุ้มค่าเงินที่จ่ายไป
อิงว่าขั้นตอนต่างๆ ที่ผู้เขียนเรียบเรียงออกมา มันทำได้จริง และบางเรื่องเล่ามันช่วยฉุกคิดได้เป็นอย่างดีค่ะ
คำถามชวนคิด
หากคุณจะนำแนวทางในหนังสือไปใช้ คุณจะเริ่มต้นอย่างไร?